🏡 รีไฟแนนซ์บ้าน 2025 คุ้มไหม? วิธีลดดอกเบี้ยผ่อนบ้านให้เบาลง
ดอกเบี้ยบ้านขึ้นไม่หยุด ผ่อนก็หนักขึ้นทุกเดือน จึงไม่น่าแปลกใจที่คำว่า รีไฟแนนซ์บ้าน กลับมาฮิตอีกครั้งในปี 2025 หลายคนเริ่มสงสัยว่า…
“รีไฟแนนซ์ตอนนี้ยังคุ้มอยู่ไหม?”
“รีแล้วช่วยประหยัดได้จริงหรือเปล่า?”
“ต้องเตรียมตัวยังไงถึงจะรีผ่านง่ายๆ?”
บทความนี้จะพาคุณมาดูแบบครบมุม ทั้งเทคนิคลดดอกเบี้ยบ้าน วิธีรีให้คุ้ม และเช็กลิสต์เตรียมตัวก่อนยื่นอย่างมืออาชีพ
💡 รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร? (Refinance)
รีไฟแนนซ์บ้าน คือ การเปลี่ยนธนาคารเจ้าหนี้จากที่เดิม ไปยังธนาคารใหม่ที่เสนอเงื่อนไข “ดอกเบี้ยต่ำกว่า” หรือให้เงื่อนไขการผ่อนชำระที่ “เหมาะกับคุณมากขึ้น” เช่น ผ่อนน้อยลง ผ่อนนานขึ้น หรือลดยอดหนี้ให้สบายใจ
การรีไฟแนนซ์จึงเป็น “เครื่องมือทางการเงิน” ที่ช่วยให้เจ้าของบ้านประหยัดดอกเบี้ยได้เป็นแสน หรือแม้กระทั่งเป็นล้านบาทในระยะยาว
✅ จุดประสงค์หลักของการรีไฟแนนซ์
- ลดภาระ “ดอกเบี้ย” ที่จ่ายเกินความจำเป็น ในช่วงแรกของการผ่อนบ้าน หลายธนาคารจะเสนอ “ดอกเบี้ยพิเศษ” ต่ำมากใน 3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นดอกเบี้ยจะขยับขึ้นเป็น “เรตลอยตัว” ที่สูงกว่ามาก (เช่น 6.5–8.0%) การรีไฟแนนซ์จึงช่วยให้คุณกลับมาใช้ “เรทดอกเบี้ยต่ำ” ได้อีกครั้ง
ตัวอย่าง: ถ้าคุณเหลือหนี้บ้าน 2,000,000 บาท ดอกเบี้ย 7.5%/ปี คุณจะจ่ายดอกเบี้ยปีละประมาณ 150,000 บาท แต่ถ้ารีไฟแนนซ์เหลือแค่ 3.5%/ปี คุณจะจ่ายดอกเบี้ยปีละ 70,000 บาท ประหยัดทันทีปีละ 80,000 บาท
- ลดค่างวดรายเดือน หากคุณมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น ลูกเรียนมหา’ลัย หรือมีภาระใหม่ การรีไฟแนนซ์สามารถช่วย “ลดค่างวดรายเดือน” เพื่อให้มีเงินเหลือใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยอาจเลือกเพิ่มระยะเวลาการผ่อนให้ยาวขึ้น
- เปลี่ยนเงื่อนไขการกู้ให้เหมาะกับสถานะทางการเงินปัจจุบัน
กรณีเช่น
- ต้องการเปลี่ยนชื่อผู้กู้ (เช่น จากเดิมคู่สามี-ภรรยา เหลือเพียงคนเดียว)
- รวมสินเชื่อบ้าน + สินเชื่อส่วนบุคคลเข้าด้วยกัน
- เปลี่ยนจากอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เป็นแบบคงที่
ก็สามารถใช้ “รีไฟแนนซ์” เพื่อ ปรับโครงสร้างหนี้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ชีวิตปัจจุบัน
🔍 รีไฟแนนซ์บ้าน 2025 ยังน่าทำอยู่ไหม?
คำตอบคือ… “ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณ”
ในปี 2025 แม้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารจะมีแนวโน้มผันผวน แต่สำหรับหลายคน “การรีไฟแนนซ์” ยังคงเป็นตัวช่วยประหยัดเงินที่ คุ้มค่ามาก โดยเฉพาะหากคุณเข้าเงื่อนไขเหล่านี้:
เช็กเลย! ✅คุณเข้าข่ายรีไฟแนนซ์แล้วคุ้มไหม?
|
เงื่อนไข |
เหตุผล |
|
✅ ผ่อนบ้านมาแล้วเกิน 3 ปี |
หมดช่วงโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำ ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยลอยตัวที่สูงขึ้น |
|
✅ ดอกเบี้ยบ้านปัจจุบันเกิน 4.5% |
ถือว่าสูง สามารถหาดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลงได้ |
|
✅ มีประวัติผ่อนดี เครดิตดี |
ทำให้ธนาคารใหม่อนุมัติง่าย และอาจได้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ |
|
✅ เหลือวงเงินกู้หลักล้าน |
รีไฟแนนซ์จะคุ้มค่ามากเมื่อยอดเงินกู้เหลือเยอะ |
|
✅ อยากลดดอกเบี้ย หรืออยากรวมหนี้บัตร/สินเชื่อส่วนบุคคล |
รีไฟแนนซ์ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้ผ่อนสบายขึ้น |
💡 ถ้าเข้าตรง 3 ข้อขึ้นไป = รีไฟแนนซ์ “คุ้มค่าแน่นอน!” โดยเฉพาะถ้า…
- คุณต้องการลดดอกเบี้ยและค่างวดต่อเดือน
- คุณกำลังจะหมดเงินก้อน และอยากลดภาระ
- คุณอยากใช้เครดิตดีให้เป็นประโยชน์เพื่อกู้เรทดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม
อย่าลืมว่า “เงินดอกเบี้ยที่ประหยัดได้” ก็คือ “กำไรในชีวิตจริง” ที่คุณจะไม่ต้องจ่ายให้ธนาคารอีกต่อไป
📊 วิธีรีไฟแนนซ์บ้านให้คุ้ม
หากคุณตัดสินใจรีไฟแนนซ์บ้าน เป้าหมายคือ “ลดดอกเบี้ยให้มากที่สุด” และ “จ่ายค่างวดให้น้อยลงโดยรวม” แต่การรีไฟแนนซ์จะ คุ้ม หรือ ขาดทุนค่าธรรมเนียมโดยใช่เหตุ ก็อยู่ที่ขั้นตอนการเตรียมตัว ดังนี้:
🔍 1. เช็กดอกเบี้ยที่คุณกำลังจ่ายอยู่
- ธนาคารเดิมคิดดอกเบี้ยคุณอยู่ที่ กี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี?
- เป็นอัตราดอกเบี้ย ลอยตัว (ปรับขึ้นลงตามตลาด) หรือ คงที่?
- อยู่ในช่วงโปรฯ 3 ปีแรกอยู่หรือไม่?
🔸 ถ้าดอกเบี้ยปัจจุบัน เกิน 4.5% = มีโอกาสรีไฟแนนซ์แล้วคุ้ม
🔸 ถ้าเป็นเรตลอยตัว และผ่อนมาเกิน 3 ปี = เข้าเงื่อนไขรีไฟแนนซ์ได้เลย
🏦 2. เปรียบเทียบโปร “รีไฟแนนซ์บ้าน” ปี 2025 จากธนาคารชั้นนำ
ไม่ควรรีบเซ็นสัญญากับธนาคารใดธนาคารหนึ่งทันที ให้คุณ ขอใบเสนอ อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ จาก 3–5 ธนาคารขึ้นไป เพื่อดูว่าใครให้เงื่อนไขดีที่สุด

|
ธนาคาร |
ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก |
ผ่อนสูงสุด |
ค่าจดจำนอง |
ฟรีค่าธรรมเนียม |
จุดเด่น |
|
SCB (ไทยพาณิชย์) |
ปีแรก 2.99% → เฉลี่ย 3 ปี 3.49% |
30 ปี |
1% |
✔️ ฟรีประเมิน ✔️ ฟรีค่าจัดการ |
อนุมัติไว, มีรีไฟแนนซ์รวมหนี้ |
|
KBank (กสิกรไทย) |
ปีแรก 2.88% → เฉลี่ย 3.39% |
30 ปี |
1% |
✔️ ฟรีค่าประเมิน |
ผ่อนสูงสุด 40 ปี, ขอออนไลน์ได้ |
|
Krungsri (กรุงศรี) |
ปีแรก 2.79% → เฉลี่ย 3.35% |
30 ปี |
1% |
✔️ ฟรีค่าประเมิน & อากร |
คำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก |
|
Krungthai (กรุงไทย) |
ปีแรก 3.00% → เฉลี่ย 3.50% |
35 ปี |
1% |
❌ มีบางค่าใช้จ่าย |
เหมาะกับผู้มีบัญชีเงินเดือนกับ KTB |
|
UOB |
ปีแรก 2.85% → เฉลี่ย 3.30% |
30 ปี |
1% |
✔️ ฟรีทุกค่าใช้จ่าย (บางโปร) |
มีโปรพ่วง MRTA ดอกเบี้ยต่ำ |
|
TMB Thanachart (ttb) |
ปีแรก 2.65% → เฉลี่ย 3.20% |
35 ปี |
1% |
✔️ ฟรีค่าธรรมเนียมยกชุด |
มีโปรรีไฟแนนซ์พร้อมเงินก้อน |
🔍 เคล็ดลับการเลือกโปรรีไฟแนนซ์ให้เหมาะกับคุณ
✅ หากต้องการลดค่างวดรายเดือน → เลือกโปรดอกเบี้ยต่ำเฉลี่ย 3 ปีแรก
✅ หากต้องการลดค่าใช้จ่าย upfront → เลือกโปรที่ฟรีค่าประเมิน/จดจำนอง/จัดการ
✅ หากต้องการรีรวมหนี้บัตรเครดิต → ดูธนาคารที่อนุญาตรีไฟแนนซ์แบบรวมหนี้ได้
💰 3. คำนวณความคุ้มค่าแบบคร่าวๆ
ก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน คุณควรประเมินคร่าว ๆ ก่อนว่า “คุ้มค่าจริงไหม?” ด้วยสูตรง่าย ๆ ที่ไม่ต้องเป็นนักคณิตศาสตร์ก็คิดได้:
📐 สูตรประเมินเบื้องต้น:
ดอกเบี้ยเดิม − ดอกเบี้ยใหม่ = ส่วนต่างที่ประหยัดได้
ตัวอย่าง:
- ดอกเบี้ยเดิม: 6.5%
- ดอกเบี้ยใหม่: 3.5%
- ส่วนต่าง = 3.0%
ถ้าคุณยังเหลือยอดกู้อีก 1.5 ล้านบาท และจะผ่อนอีก 15 ปี
คุณอาจ ประหยัดดอกเบี้ยได้เกิน 500,000 บาท เลยทีเดียว!
🟢 คุ้ม! ถ้า…
- ส่วนต่างดอกเบี้ย ≥ 1.0% ขึ้นไป
- ยอดเงินกู้เหลือ หลักแสนปลาย – หลักล้าน
- ยังมีระยะเวลาผ่อนเหลือ อีกหลายปี
- ได้โปรรีไฟแนนซ์ที่มี ค่าธรรมเนียมต่ำหรือฟรีค่าบริการ
🔴 ไม่คุ้ม! ถ้า…
- เหลือยอดหนี้ไม่เยอะ (เช่น < 300,000 บาท)
- ผ่อนบ้านใกล้หมดแล้ว (เหลือไม่ถึง 3 ปี)
- ค่าธรรมเนียมสูง เช่น ค่าปรับธนาคารเดิม หรือค่าจดจำนองแพง
- ได้เรตดอกเบี้ยใหม่ที่ต่างจากเดิมไม่ถึง 0.5%
TIP: ใช้เครื่องคำนวณออนไลน์จากเว็บไซต์ธนาคาร เพื่อดูตัวเลขจริงก่อนตัดสินใจ
🧾 ค่าใช้จ่ายที่ต้องรู้ก่อนรีไฟแนนซ์
|
รายการ |
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ |
|
ค่าประเมินบ้าน |
2,000–5,000 บาท |
|
ค่าจดจำนองใหม่ |
1% ของวงเงินกู้ |
|
ค่าธรรมเนียมแบงก์ใหม่ |
บางแห่ง “ฟรี” |
|
MRTA/ประกันชีวิต |
ขึ้นอยู่กับอายุ/วงเงินกู้ |
|
ค่าปรับแบงก์เดิม (ถ้ามี) |
ดูในสัญญา |
วิธีรีไฟแนนซ์บ้านให้คุ้มอย่าลืมเปรียบเทียบ “ค่าธรรมเนียมรวม” กับ “ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้”
📝 ขั้นตอนขอรีไฟแนนซ์แบบมืออาชีพ
หากคุณอยากรีไฟแนนซ์บ้านแบบ “เนียน ๆ ไม่มีสะดุด” จนธนาคารอนุมัติไว ผ่อนถูก และไม่มีปัญหาตามมา ลองทำตาม 7 ขั้นตอนนี้ แบบมืออาชีพ:
🟢 1. ตรวจสอบสัญญาเดิมก่อน
- เช็กว่า “ผ่อนมาแล้วกี่ปี?” หากยังไม่ครบ 3 ปี อาจมีค่าปรับ
- ดูอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน และรายละเอียดอื่น เช่น ค่าประกัน MRTA หรือค่าจดจำนองเดิม
- ตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือ (Outstanding Balance)
TIP: โทรสอบถาม ฝ่ายสินเชื่อธนาคารเดิม ขอ “ใบสรุปยอดหนี้” ล่าสุดได้เลย
🟢 2. เปรียบเทียบโปรรีไฟแนนซ์จากหลายธนาคาร
- ขอใบเสนอจากธนาคารต่าง ๆ อย่างน้อย 3 เจ้า
- พิจารณาทั้งดอกเบี้ย 3 ปีแรก + ดอกเบี้ยลอยตัวหลังปีที่ 4
- ดูว่ามีฟรีอะไรบ้าง เช่น ค่าประเมิน / ค่าจดจำนอง / ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
- ถามให้ชัดว่า “ต้องซื้อ MRTA” หรือไม่ และภาระผูกพันประกันกี่ปี
🟢 3. เตรียมเอกสารให้พร้อม
เอกสารที่มักใช้:
- สำเนาบัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน
- สัญญากู้/โฉนด/สัญญาซื้อขายเดิม
- สลิปเงินเดือน 3 เดือน / หนังสือรับรองเงินเดือน
- รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
- หนังสือยินยอมให้ตรวจเครดิตบูโร
TIP: ถ้าคุณมีรายได้เสริม เช่น คอมมิชชัน หรือรายได้จากเช่า อย่าลืมแนบเอกสารแสดงรายได้เพิ่มเติมด้วย
🟢 4. ยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่
- ยื่นเอกสารให้ครบทุกฉบับ
- ธนาคารจะประเมินหลักประกัน (เช่น บ้านหรือคอนโด)
- อนุมัติวงเงินและแจ้งผลประมาณ 3–15 วันทำการ
- หากอนุมัติ จะมีวันนัดโอนจำนองที่สำนักงานที่ดิน
🟢 5. ชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในวันโอน
ค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้น:
- ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ใหม่ (บางธนาคารมีโปรโมชั่นฟรี)
- ค่าอากรแสตมป์ 0.05%
- ค่าประเมินหลักทรัพย์ (ประมาณ 3,000–5,000 บาท)
- ค่าทำนิติกรรม (บางกรณี)
🟢 6. ธนาคารใหม่ปิดบัญชีให้คุณกับธนาคารเดิม
- ธนาคารใหม่จะโอนเงินไปเคลียร์หนี้กับธนาคารเดิมให้
- โฉนดจะถูกนำไปจดจำนองใหม่กับธนาคารใหม่
- คุณไม่ต้องทำเอง ธนาคารจัดการให้ทุกขั้นตอน
🟢 7. เริ่มต้นผ่อนกับธนาคารใหม่
- เมื่อกระบวนการเสร็จ คุณจะได้รับ “สัญญากู้ใหม่”
- เริ่มชำระค่างวดกับธนาคารใหม่ตามเงื่อนไขที่ตกลง
แนะนำให้จ่ายผ่านระบบหักบัญชีอัตโนมัติ เพื่อลดความผิดพลาด
✅ ทริคเสริม:
- รีไฟแนนซ์ทุก 3 ปี ช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้หลักแสนบาท
- บางธนาคารมี “รีไฟแนนซ์พร้อมเพิ่มวงเงิน” สำหรับคนที่อยากได้เงินก้อนมาใช้จ่ายหรือลงทุน
📋 Checklist ก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน
ก่อนจะเดินเข้าไปยื่นเอกสารกับธนาคาร ลองเช็กสิ่งเหล่านี้ให้ครบก่อน เพื่อให้การรีไฟแนนซ์ “ไม่พลาด ไม่เปลือง และคุ้มที่สุด!”
✅ เช็กสถานะของคุณ
- ผ่อนบ้านมาแล้ว มากกว่า 3 ปี
- ดอกเบี้ยปัจจุบัน เกิน 4.5%
- เหลือยอดหนี้มากกว่า 500,000 บาทขึ้นไป
- ประวัติการผ่อนชำระดี ไม่มีค้างชำระ
- ต้องการลดดอกเบี้ย / ลดค่างวด / เปลี่ยนธนาคาร
✅ เตรียมเอกสารให้พร้อม
- สำเนาบัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน
- สัญญาเงินกู้ / โฉนดบ้าน หรือคอนโด
- สลิปเงินเดือน 3 เดือนล่าสุด
- Statement เดินบัญชี 6 เดือน
- หนังสือยินยอมให้ตรวจเครดิตบูโร
- เอกสารรายได้เสริม (ถ้ามี)
✅ ตรวจสอบข้อมูลจากธนาคารเดิม
- ขอยอดหนี้คงเหลือ (Outstanding Balance)
- ตรวจสอบว่า “มีค่าปรับกรณีปิดบัญชีก่อนกำหนด” หรือไม่
- ตรวจสอบประกัน MRTA (ยังคุ้มครองอยู่หรือไม่?)
✅ เปรียบเทียบโปรธนาคารใหม่
- ขอใบเสนอโปรรีไฟแนนซ์จากอย่างน้อย 3 ธนาคาร
- ดูอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก
- เปรียบเทียบ Effective Rate
- ตรวจสอบว่ามีค่าธรรมเนียมแฝงหรือไม่
- มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง (ฟรีค่าประเมิน/ยกเว้นค่าจดจำนอง ฯลฯ)
✅ วางแผนระยะยาว
- คิดแล้วว่า “จะผ่อนอีกกี่ปี?”
- ต้องการลดค่างวด หรือลดยอดรวมดอกเบี้ย?
- มีโอกาสรีไฟแนนซ์อีกในอนาคตหรือไม่?
🛑 ถ้ายังไม่พร้อม…
อาจรอให้ครบ 3 ปี หรือเคลียร์ประวัติสินเชื่อก่อน เพราะรีไฟแนนซ์ที่ไม่คุ้ม อาจเสียค่าธรรมเนียมโดยไม่จำเป็น
💬 ข้อแนะนำพิเศษ:
ถ้ามีที่ปรึกษาสินเชื่อหรือโบรกเกอร์ช่วยเปรียบเทียบธนาคาร จะลดเวลาเตรียมเอกสาร และได้เรทที่คุ้มที่สุดแบบไม่ต้องวิ่งเองหลายที่เลยค่ะ
⚠️ คำเตือนก่อนรีไฟแนนซ์
การรีไฟแนนซ์บ้านอาจดูเหมือนดีเสมอไป แต่จริง ๆ แล้ว “ไม่ใช่ทุกคนที่ควรรีไฟแนนซ์” ถ้าคุณไม่ได้เช็กให้รอบคอบ อาจเสียค่าธรรมเนียมฟรี ๆ หรือผ่อนนานขึ้นโดยไม่จำเป็น
🔴 1. ดอกเบี้ยต่างกันไม่ถึง 1% = อาจไม่คุ้ม
หากส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างธนาคารเดิมกับใหม่ ไม่ถึง 1.0% โดยเฉพาะถ้าเหลือยอดหนี้น้อย → อาจประหยัดได้นิดเดียว แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหลายรายการแทน
🔴 2. รีไฟแนนซ์ตอนยังไม่ครบ 3 ปี = เจอค่าปรับ
- ธนาคารส่วนใหญ่ คิดค่าปรับ 3% ของยอดหนี้คงเหลือ หากปิดบัญชีก่อน 3 ปี
- ถ้าเจอค่าปรับสูง แต่ประหยัดดอกเบี้ยได้น้อย → ขาดทุนชัด ๆ
🔴 3. ค่าธรรมเนียมแฝงที่หลายคนมองข้าม
- ค่าจดจำนอง (1% ของวงเงินกู้ใหม่)
- ค่าอากร 0.05%
- ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์
- ค่าทำนิติกรรม
- ค่าธรรมเนียมทนาย (บางกรณี)
💸 รวมแล้วอาจต้องเตรียมเงินไว้ 15,000 – 30,000 บาท ขึ้นไป
🔴 4. ธนาคารใหม่อาจให้วงเงินน้อยกว่าที่คิด
- หากเครดิตไม่ดี รายได้ลดลง หรือมีภาระหนี้สูง ธนาคารใหม่อาจอนุมัติไม่เต็มวงเงิน
- ต้องสำรองเงินเพิ่ม หรืออาจกู้ไม่ผ่านเลย
🔴 5. MRTA ใหม่ = ภาระผูกพันระยะยาว
- บางธนาคาร “บังคับ” ทำประกันชีวิต MRTA เป็นเงื่อนไขดอกเบี้ย
- ต้องดูให้ดีว่าจ่ายเป็นก้อน หรือรวมในยอดกู้
- บางคนจ่ายเพิ่มหลายหมื่นโดยไม่รู้ตัว
🧠 ข้อคิดก่อนตัดสินใจ:
✨ ถ้าคุณ ประหยัดดอกเบี้ยได้มากกว่า “ค่าใช้จ่ายทั้งหมด” ที่เกิดจากการรีไฟแนนซ์ = คุ้ม
✨ แต่ถ้า “เหนื่อย เสียเงินเพิ่ม และไม่ได้ลดภาระจริง” = ยังไม่ต้องรีบรีไฟแนนซ์ก็ได้
🏁 สรุป – รีไฟแนนซ์บ้าน 2025 คุ้มหรือไม่?
ถ้าคุณกำลังผ่อนบ้านด้วยดอกเบี้ยสูง ค่างวดเริ่มหนักขึ้นทุกเดือน อยากมีเงินเหลือใช้ แต่ไม่อยากย้ายบ้านและอยากให้ค่างวดเบาลงในระยะยาว การ รีไฟแนนซ์บ้าน คือ “ตัวช่วยสำคัญ” ที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในปี 2025 ที่ธนาคารหลายแห่งเปิดโปรโมชั่นแข่งขันกันสุดฤทธิ์! พร้อมให้ดอกเบี้ยต่ำ ฟรีค่าธรรมเนียม และบริการครบวงจร
รีไฟแนนซ์ดี = ผ่อนเบา = เหลือเงินใช้ = มีความสุขในบ้านหลังเดิมแบบไม่เครียด 💖
อย่าลืม… แค่เปลี่ยนธนาคาร อาจเปลี่ยนชีวิตการเงินของคุณไปอีกหลายปี
เช็กสิทธิ์และเงื่อนไขให้ดี แล้วเริ่มต้นใหม่แบบฉลาดกว่าเดิมนะคะ 🧠🏡
Join The Discussion